ในยุคที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในอาคารและพื้นที่ปิด การออกแบบที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติหรือ “Biophilic Design” กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่เพียงเพราะความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะผลกระทบเชิงบวกที่มีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัย

Biophilic Design คืออะไร?
Biophilic Design เป็นแนวคิดในการออกแบบที่นำธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อยู่อาศัย โดยมีรากฐานมาจากทฤษฎี “Biophilia” ของ Edward O. Wilson ที่เสนอว่ามนุษย์มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติโดยสัญชาตญาณ และการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติช่วยส่งเสริมสุขภาวะที่ดี
ประโยชน์ของ Biophilic Design
การนำหลักการ Biophilic Design มาใช้ในบ้านมีประโยชน์มากมาย:
- ลดความเครียดและความวิตกกังวล – การอยู่ในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยลดฮอร์โมนความเครียดและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย
- เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และสมาธิ – การศึกษาพบว่าการมองเห็นธรรมชาติหรือธรรมชาติจำลองช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์
- ปรับปรุงคุณภาพอากาศ – พืชในร่มช่วยกรองสารพิษและเพิ่มออกซิเจนในอากาศ
- ส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น – การออกแบบที่เน้นแสงธรรมชาติช่วยรักษาจังหวะชีวภาพของร่างกาย ส่งผลให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- สร้างความรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข – ธรรมชาติกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข เช่น เซโรโทนิน และโดพามีน
14 แนวทางการนำ Biophilic Design มาใช้ในบ้าน
1. เพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยต้นไม้ในร่ม
ต้นไม้ในร่มเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการนำธรรมชาติเข้ามาในบ้าน ต้นไม้ที่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น:
- เดหลี (Peace Lily) – ช่วยกรองสารพิษ ดูแลง่าย
- ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) – มีคุณสมบัติทางยา และปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืน
- ต้นยางอินเดีย (Rubber Plant) – ทนทาน เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลมาก
- เฟิร์นบอสตัน (Boston Fern) – ช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ
- กล้วยไม้ (Orchid) – สวยงาม และช่วยดักจับสารพิษ
2. ใช้วัสดุธรรมชาติในการตกแต่ง
การนำวัสดุจากธรรมชาติมาใช้ในการออกแบบและตกแต่งช่วยสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกภายนอก:
- ไม้ – ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ พื้นไม้ หรือผนังไม้เพื่อสร้างความอบอุ่น
- หิน – หินธรรมชาติที่ใช้ในเคาน์เตอร์ห้องครัว ห้องน้ำ หรือเป็นองค์ประกอบตกแต่ง
- ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน และวัสดุธรรมชาติอื่นๆ – ใช้สำหรับผ้าม่าน เบาะ หรือพรม
- ไม้ไผ่และหวาย – นำมาใช้ในเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่ง
- ดินเผา – สำหรับกระถางต้นไม้หรือของตกแต่ง
3. เพิ่มแสงธรรมชาติ
แสงธรรมชาติมีความสำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี:
- ออกแบบหน้าต่างให้ใหญ่ขึ้นหรือเพิ่มจำนวนหน้าต่าง
- ใช้ผ้าม่านโปร่งแสงแทนผ้าม่านทึบ
- ติดตั้งหลังคากระจกหรือช่องแสงบนหลังคา (Skylight)
- ใช้กระจกหรือพื้นผิวสะท้อนแสงเพื่อช่วยกระจายแสงทั่วห้อง
- วางกระจกตรงข้ามหน้าต่างเพื่อเพิ่มปริมาณแสงภายในห้อง
4. สร้างมุมมองสู่ธรรมชาติ
การมองเห็นธรรมชาติช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย:
- วางเฟอร์นิเจอร์ให้หันหน้าไปทางหน้าต่างที่มองเห็นพื้นที่สีเขียว
- สร้างสวนขนาดเล็กใกล้หน้าต่างที่มองเห็นได้จากภายในบ้าน
- ติดตั้งระเบียงหรือพื้นที่นั่งเล่นกลางแจ้งที่สามารถมองเห็นจากภายในบ้าน
- หากไม่มีวิวธรรมชาติ ใช้ภาพถ่ายธรรมชาติขนาดใหญ่หรือภาพจิตรกรรมฝาผนัง
5. ใช้รูปแบบและลวดลายจากธรรมชาติ
ธรรมชาติเต็มไปด้วยรูปแบบที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ:
- ลายใบไม้บนวอลเปเปอร์หรือผ้าบุเฟอร์นิเจอร์
- ลวดลายรังผึ้งหรือเซลลูลาร์ในการตกแต่ง
- รูปทรงโค้งมนและอะซิมเมตริกแทนเส้นตรงและมุมฉาก
- การออกแบบที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของน้ำหรือลม
- ลวดลายที่แสดงถึงการเติบโตและการแตกกิ่งก้านสาขา
6. สร้างพื้นที่น้ำในบ้าน
น้ำมีผลทางจิตวิทยาที่ช่วยผ่อนคลายและสร้างความสงบ:
- ติดตั้งน้ำพุขนาดเล็กหรือน้ำตกจำลอง
- ตู้ปลาหรืออ่างเลี้ยงปลา
- อ่างบัวหรือสระน้ำขนาดเล็กในสวน
- เครื่องทำความชื้นที่มีเสียงน้ำไหล
- ภาพถ่ายหรืองานศิลปะที่เกี่ยวกับน้ำ
7. ใช้สีที่พบในธรรมชาติ
สีธรรมชาติช่วยสร้างความรู้สึกสงบและเชื่อมโยง:
- สีเขียว – สื่อถึงพืชพรรณและช่วยผ่อนคลาย
- สีฟ้าและสีน้ำเงิน – สื่อถึงท้องฟ้าและน้ำ สร้างความสงบ
- สีน้ำตาล – ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง
- สีเบจและสีครีม – สื่อถึงทรายและหิน ช่วยสร้างความสว่าง
- สีเหลืองอ่อน – สื่อถึงแสงแดด ช่วยสร้างความสดใส
8. เพิ่มกลิ่นธรรมชาติ
การรับรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะการมองเห็น กลิ่นธรรมชาติช่วยเสริมสร้างประสบการณ์:
- ปลูกพืชที่มีกลิ่นหอม เช่น ลาเวนเดอร์ มิ้นท์ หรือโรสแมรี่
- ใช้น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ
- ใช้เทียนหอมที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ
- เปิดหน้าต่างเพื่อรับกลิ่นอากาศบริสุทธิ์
9. ใช้เสียงธรรมชาติ
เสียงธรรมชาติช่วยกลบเสียงรบกวนและสร้างความผ่อนคลาย:
- น้ำพุหรือน้ำตกขนาดเล็กที่สร้างเสียงน้ำไหล
- กระดิ่งลมที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ
- เครื่องเล่นเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงนก เสียงฝน หรือเสียงคลื่น
- ปลูกต้นไม้ใกล้หน้าต่างเพื่อดึงดูดนก
10. ออกแบบให้มีการเคลื่อนไหวในบ้าน
การเคลื่อนไหวในธรรมชาติสร้างความรู้สึกมีชีวิตชีวา:
- ใช้ผ้าม่านบางที่พลิ้วไหวเมื่อมีลม
- ติดตั้งพัดลมเพดานที่สร้างการเคลื่อนไหวของอากาศ
- น้ำพุหรือน้ำตกที่มีการเคลื่อนไหวของน้ำ
- แขวนงานศิลปะหรือโมบายล์ที่มีการเคลื่อนไหว
11. สร้างความหลากหลายของพื้นที่
ธรรมชาติมีความหลากหลาย การจำลองลักษณะนี้ในบ้านช่วยสร้างความน่าสนใจ:
- สร้างพื้นที่เปิดโล่งสลับกับพื้นที่ปิดทึบ
- มีทั้งพื้นที่สว่างและพื้นที่ร่มเงา
- ใช้ความสูงต่างระดับในการออกแบบ
- สร้างมุมสงบและมุมที่มีชีวิตชีวา
12. ใช้รูปแบบฟร็อคทัล (Fractal)
รูปแบบฟร็อคทัลเป็นลักษณะที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ:
- ใช้ลวดลายที่มีการซ้ำในรูปแบบที่เล็กลงเรื่อยๆ
- เลือกงานศิลปะหรือวอลเปเปอร์ที่มีลักษณะฟร็อคทัล
- เลือกพืชที่มีโครงสร้างฟร็อคทัล เช่น เฟิร์น
- ออกแบบการจัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือองค์ประกอบที่แสดงถึงลำดับชั้น
13. ออกแบบให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศท้องถิ่น
การออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นช่วยประหยัดพลังงานและสร้างความเชื่อมโยงกับพื้นที่:
- ใช้พืชท้องถิ่นในการตกแต่ง
- ออกแบบให้รับลมและแสงธรรมชาติตามทิศทางของพื้นที่
- เลือกวัสดุที่เหมาะกับสภาพอากาศในท้องถิ่น
- นำแนวคิดการออกแบบจากวัฒนธรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้
14. สร้างพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติขนาดเล็ก
การสร้างระบบนิเวศขนาดเล็กในบ้านหรือสวนช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ:
- สร้างสวนผีเสื้อด้วยการปลูกพืชที่ดึงดูดผีเสื้อ
- ติดตั้งบ้านนกหรือที่ให้อาหารนก
- ปลูกพืชที่เป็นอาหารของแมลงที่มีประโยชน์
- สร้างสระน้ำขนาดเล็กที่เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตในน้ำ
การประยุกต์ใช้ Biophilic Design ในแต่ละห้อง
ห้องนั่งเล่น
- ปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ในมุมห้อง
- ใช้โซฟาที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ
- ติดตั้งน้ำพุขนาดเล็ก
- ใช้พรมลายธรรมชาติ
- วางโซฟาให้หันหน้าไปทางหน้าต่าง
ห้องนอน
- ใช้เตียงไม้และผ้าปูที่นอนจากเส้นใยธรรมชาติ
- ปลูกพืชที่ปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืน เช่น ว่านหางจระเข้
- ติดตั้งผ้าม่านบางเพื่อให้แสงธรรมชาติเข้าถึง
- ใช้สีโทนอ่อนที่พบในธรรมชาติ
- ใช้น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้นอนหลับสบาย
ห้องทำงาน
- วางโต๊ะทำงานใกล้หน้าต่าง
- ปลูกพืชที่ช่วยกรองอากาศ
- ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้
- ติดภาพธรรมชาติ
- ใช้แสงไฟที่เลียนแบบแสงธรรมชาติ
ห้องครัว
- ใช้เคาน์เตอร์หินธรรมชาติ
- ปลูกสวนสมุนไพรขนาดเล็ก
- ใช้ตู้ไม้หรือไผ่
- เปิดพื้นที่เชื่อมต่อกับสวนหรือระเบียง
- ใช้สีโทนดิน
ห้องน้ำ
- ใช้กระเบื้องหินธรรมชาติ
- ติดตั้งพืชที่ชอบความชื้น
- ใช้แสงธรรมชาติผ่านหน้าต่างกระจกฝ้า
- ติดตั้งฝักบัวที่จำลองเสียงฝนตก
- ใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำกลิ่นธรรมชาติ
ข้อควรพิจารณาในการออกแบบ Biophilic Design
- ความยั่งยืน – เลือกวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- การบำรุงรักษา – พิจารณาความต้องการในการดูแลรักษา โดยเฉพาะต้นไม้และน้ำพุ
- ความสมดุล – หลีกเลี่ยงการตกแต่งที่มากเกินไป จนทำให้รู้สึกรกรุงรัง
- ความเป็นส่วนตัว – สร้างสมดุลระหว่างการเชื่อมต่อกับภายนอกและความเป็นส่วนตัว
ความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ – ออกแบบให้เข้ากับการใช้ชีวิตและความต้องการของผู้อยู่อาศัย
Biophilic Design ไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์การออกแบบ แต่เป็นแนวทางที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในยุคที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในอาคาร การนำธรรมชาติเข้ามาในบ้านไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย
ไม่ว่าคุณจะมีงบประมาณเท่าไร หรือพื้นที่ขนาดใดก็สามารถนำหลักการ Biophilic Design มาประยุกต์ใช้ได้ เริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่น การเพิ่มต้นไม้ในร่ม หรือการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้รับแสงธรรมชาติมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของคุณและครอบครัว