Air Purifying Plants: 10 ต้นไม้ฟอกอากาศที่ปลูกในบ้านได้ ช่วยลด PM 2.5

ปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ PM 2.5 กลายเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญที่หลายคนกำลังเผชิญในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และช่วงหน้าแล้ง การแก้ปัญหาระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย แต่สำหรับภายในบ้านของเรา มีวิธีการจัดการกับมลพิษทางอากาศที่ทั้งได้ผลและสวยงาม นั่นคือ การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ

องค์การนาซา (NASA) และนักวิจัยทั่วโลกได้ค้นพบว่า ต้นไม้บางชนิดไม่เพียงแต่เพิ่มออกซิเจนในอากาศ แต่ยังสามารถดูดซับสารพิษและอนุภาคขนาดเล็กรวมถึง PM 2.5 ได้อีกด้วย บทความนี้จะแนะนำ 10 ต้นไม้ฟอกอากาศที่ปลูกในบ้านได้ง่าย ดูแลไม่ยาก และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในบ้านของคุณ

ทำไมต้องปลูกต้นไม้ฟอกอากาศในบ้าน?

ก่อนที่จะมารู้จักต้นไม้ฟอกอากาศแต่ละชนิด เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศในบ้านจึงสำคัญ:

  • คุณภาพอากาศภายในบ้านมักแย่กว่าภายนอก 2-5 เท่า: เนื่องจากการสะสมของสารพิษจากเฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และวัสดุก่อสร้าง
  • เราใช้เวลาในบ้านมากถึง 90% ของชีวิต: โดยเฉพาะในยุค Work from Home
  • ต้นไม้ช่วยกรองอนุภาค PM 2.5 และสารพิษในอากาศ: ผ่านกระบวนการทางชีวภาพและการดูดซับผ่านใบ
  • ต้นไม้เพิ่มความชื้นในอากาศ: ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
  • ประโยชน์ด้านสุขภาพจิต: การอยู่ท่ามกลางต้นไม้ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย

10 ต้นไม้ฟอกอากาศที่ปลูกในบ้านได้ ช่วยลด PM 2.5

1. เศรษฐีเรือนใน (Peace Lily)

 

คุณสมบัติพิเศษ:

  • กำจัดสารพิษในอากาศได้หลายชนิด รวมถึงฟอร์มาลดีไฮด์ เบนซีน และแอมโมเนีย
  • ช่วยลดปริมาณเชื้อราในอากาศได้ถึง 60%
  • ดูดซับอนุภาค PM 2.5 ผ่านใบได้ดี

การดูแล:

  • ต้องการแสงสว่างปานกลาง ไม่ต้องการแสงแดดโดยตรง
  • รดน้ำเมื่อดินเริ่มแห้ง ประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
  • ชอบความชื้นสูง เหมาะสำหรับห้องน้ำหรือห้องครัว

ข้อควรระวัง: มีพิษเล็กน้อยสำหรับสัตว์เลี้ยง ควรวางในจุดที่สัตว์เลี้ยงเข้าไม่ถึง

2. เดหลี (Mother-in-law’s Tongue หรือ Snake Plant)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • หนึ่งในต้นไม้ที่ปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืนได้มากที่สุด
  • กรองสารพิษได้หลายชนิด โดยเฉพาะฟอร์มาลดีไฮด์
  • มีโครงสร้างใบที่ช่วยดักจับฝุ่นและอนุภาค PM 2.5 ได้ดี

การดูแล:

  • ทนต่อสภาพแวดล้อมได้หลากหลาย ทั้งแสงน้อยและแสงมาก
  • รดน้ำเพียง 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง ทนแล้งได้ดีมาก
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลต้นไม้มาก

จุดเด่น: เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ดูแลง่ายที่สุด เหมาะกับผู้เริ่มต้นปลูกต้นไม้

3. สาวน้อยประแป้ง (Chinese Evergreen)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • กำจัดสารพิษในอากาศได้หลายชนิด โดยเฉพาะเบนซีน
  • มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่นและอนุภาคแขวนลอยในอากาศ
  • มีหลายสายพันธุ์ให้เลือก ทั้งใบสีเขียวและใบด่าง

การดูแล:

  • เติบโตได้ดีในสภาพแสงน้อยถึงปานกลาง
  • ต้องการความชื้นปานกลาง รดน้ำเมื่อดินแห้ง
  • อายุยืนและทนทานต่อสภาพแวดล้อมในบ้าน

จุดเด่น: นอกจากฟอกอากาศแล้ว ยังมีความเชื่อว่านำโชคลาภมาสู่บ้าน

4. เฟิร์นบอสตัน (Boston Fern)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • หนึ่งในต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกำจัดฟอร์มาลดีไฮด์
  • มีพื้นที่ใบมาก ช่วยดักจับฝุ่นและอนุภาคขนาดเล็กได้ดีเยี่ยม
  • เพิ่มความชื้นในอากาศผ่านกระบวนการคายน้ำ

การดูแล:

  • ต้องการความชื้นสูง อาจต้องฉีดพ่นน้ำบ่อยๆ
  • ชอบแสงสว่างแต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง
  • ควรรักษาดินให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ

เหมาะสำหรับ: ห้องที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ หรือห้องที่มีการฉีดพ่นน้ำได้

5. ลิ้นมังกร (Dragon Tree)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • กำจัดสารพิษหลายชนิด โดยเฉพาะไซลีน ไตรคลอโรเอทิลีน และคาร์บอนไดออกไซด์
  • มีอายุยืนยาว สามารถเติบโตได้ถึง 8-15 ฟุต
  • ใบแหลมยาวช่วยดักจับฝุ่นและอนุภาค PM 2.5

การดูแล:

  • ชอบแสงสว่างปานกลาง แต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง
  • รดน้ำเมื่อดินแห้ง ประมาณสัปดาห์ละครั้ง
  • ทนต่อสภาพแวดล้อมแห้งได้ดี

ข้อควรระวัง: มีพิษเล็กน้อยสำหรับสัตว์เลี้ยง ควรวางให้พ้นมือสัตว์เลี้ยง

6. ไอวี่ (English Ivy)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • กำจัดสารพิษในอากาศได้ถึง 94% ภายใน 12 ชั่วโมง
  • ลดปริมาณเชื้อราในอากาศได้ดี
  • มีประสิทธิภาพในการดูดซับฟอร์มาลดีไฮด์

การดูแล:

  • ชอบแสงสว่างแต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง
  • ต้องการดินชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ต้องการความชื้นในอากาศปานกลางถึงสูง

จุดเด่น: เหมาะสำหรับปลูกแขวนหรือให้เลื้อยตามชั้นวางของเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับอากาศ

7. ยางอินเดีย (Rubber Plant)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • ใบขนาดใหญ่ช่วยดักจับฝุ่นและอนุภาค PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • กำจัดสารพิษในอากาศ โดยเฉพาะฟอร์มาลดีไฮด์
  • ผลิตออกซิเจนในปริมาณมาก

การดูแล:

  • ต้องการแสงสว่างปานกลาง ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง
  • รดน้ำเมื่อดินแห้ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง
  • เช็ดใบด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาดเพื่อกำจัดฝุ่นบนใบ

จุดเด่น: เติบโตเร็ว สามารถเป็นจุดเด่นของห้องด้วยใบขนาดใหญ่สีเขียวเข้มเงางาม

8. เขียวหมื่นปี (Money Plant หรือ Golden Pothos)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • กำจัดสารพิษในอากาศได้หลายชนิด โดยเฉพาะคาร์บอนมอนอกไซด์และฟอร์มาลดีไฮด์
  • เติบโตเร็ว สามารถขยายพื้นที่ใบเพื่อดักจับฝุ่นได้มาก
  • มีความสามารถในการดูดซับสารเคมีที่ระเหยจากเฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง

การดูแล:

  • ทนทานในแทบทุกสภาพแสง ตั้งแต่แสงน้อยไปจนถึงแสงสว่างจัด
  • รดน้ำเมื่อดินแห้ง ทนแล้งได้ดี
  • ขยายพันธุ์ง่ายด้วยการปักชำในน้ำ

จุดเด่น: เป็นต้นไม้ที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ปลูกง่าย ตายยาก

9. สปาธิฟิลลัม (Peace Lily)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • กำจัดสารเคมีที่เป็นอันตรายได้หลายชนิด รวมถึงแอลกอฮอล์ อะซิโตน และไตรคลอโรเอทิลีน
  • ดูดซับฝุ่นและอนุภาค PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลิตดอกสีขาวสวยงาม

การดูแล:

  • เติบโตได้ดีในที่แสงน้อยถึงปานกลาง
  • ต้องการดินชุ่มชื้น สังเกตเมื่อใบเริ่มห้อยคือเวลาที่ต้องรดน้ำ
  • ช่วงฤดูแล้งควรฉีดพ่นน้ำที่ใบเพื่อเพิ่มความชื้น

จุดเด่น: นอกจากคุณสมบัติฟอกอากาศแล้ว ยังมีดอกสวยงามช่วยเพิ่มความสดชื่นให้บ้าน

10. ปาล์มเอเรกา (Areca Palm)

คุณสมบัติพิเศษ:

  • หนึ่งในต้นไม้ที่ผลิตออกซิเจนได้มากที่สุด
  • ทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกอากาศและเพิ่มความชื้นธรรมชาติ
  • กรองฝุ่นและสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดูแล:

  • ต้องการแสงสว่างแต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง
  • รดน้ำเมื่อผิวดินแห้ง ประมาณสัปดาห์ละครั้ง
  • ชอบความชื้นปานกลางถึงสูง

จุดเด่น: ขนาดใหญ่และสวยงาม ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เหมาะสำหรับมุมห้องที่ต้องการไฮไลท์

เทคนิคการจัดวางต้นไม้ฟอกอากาศในบ้านให้มีประสิทธิภาพ

นอกจากการเลือกชนิดของต้นไม้แล้ว การจัดวางก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการฟอกอากาศ:

1. กระจายต้นไม้ทั่วบ้าน

ควรกระจายต้นไม้ไปตามจุดต่างๆ ของบ้าน โดยเฉพาะ:

  • ห้องนอน: เพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์ขณะนอนหลับ
  • ห้องนั่งเล่น: ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้เวลานาน
  • ห้องทำงาน: เพื่อเพิ่มออกซิเจนและความสดชื่นขณะทำงาน
  • ห้องครัว: เพื่อดูดซับกลิ่นและควัน

2. จัดกลุ่มต้นไม้ตามประสิทธิภาพ

จัดกลุ่มต้นไม้ที่มีคุณสมบัติเสริมกันไว้ด้วยกัน เช่น:

  • ต้นไม้ที่กำจัดฟอร์มาลดีไฮด์ + ต้นไม้ที่ดูดซับเบนซีน
  • ต้นไม้ที่เพิ่มความชื้น + ต้นไม้ที่ดักจับฝุ่น

3. คำนึงถึงความต้องการของต้นไม้

จัดวางต้นไม้ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมที่ต้องการ:

  • ต้นไม้ที่ต้องการแสงมาก ควรวางใกล้หน้าต่าง
  • ต้นไม้ที่ชอบความชื้น ควรวางในห้องน้ำหรือห้องครัว
  • ต้นไม้ที่ทนแสงน้อย เหมาะสำหรับมุมห้องหรือทางเดิน

เทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพการฟอกอากาศของต้นไม้

นอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว การผสมผสานกับเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฟอกอากาศ:

1. เครื่องวัดคุณภาพอากาศ

การติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศจะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเพิ่มต้นไม้ในบริเวณใดของบ้าน และสามารถวัดผลการเปลี่ยนแปลงคุณภาพอากาศหลังจากปลูกต้นไม้

2. เครื่องฟอกอากาศคู่กับต้นไม้

ต้นไม้และเครื่องฟอกอากาศสามารถทำงานเสริมกันได้:

  • ต้นไม้ช่วยกรองฝุ่นและสารเคมีบางชนิด
  • เครื่องฟอกอากาศช่วยกำจัดอนุภาคขนาดเล็กที่ต้นไม้อาจไม่สามารถดักจับได้ทั้งหมด

3. ระบบรดน้ำอัตโนมัติ

สำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด ระบบรดน้ำอัตโนมัติจะช่วยให้ต้นไม้เติบโตได้ดีและมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศอย่างต่อเนื่อง

การดูแลต้นไม้ฟอกอากาศให้เติบโตสมบูรณ์

เพื่อให้ต้นไม้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการฟอกอากาศ ควรดูแลให้เติบโตอย่างสมบูรณ์:

1. การรดน้ำที่เหมาะสม

  • สังเกตสภาพดินและความต้องการของแต่ละชนิด
  • หลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไปซึ่งอาจทำให้รากเน่า
  • ใช้น้ำที่พักไว้ให้คลอรีนระเหย หรือน้ำฝน

2. ใส่ปุ๋ยตามความเหมาะสม

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยสำหรับต้นไม้ในร่มโดยเฉพาะ
  • ลดปริมาณปุ๋ยในช่วงฤดูหนาวที่การเติบโตช้าลง
  • พิจารณาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งปลอดภัยและไม่สร้างมลพิษ

3. การทำความสะอาดใบ

    • เช็ดใบด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาดเพื่อกำจัดฝุ่นที่เกาะบนใบ
    • การทำความสะอาดใบสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฟอกอากาศ
    • สำหรับต้นไม้ใบเล็ก อาจฉีดพ่นน้ำเพื่อชะล้างฝุ่น

การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศในบ้านไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณ PM 2.5 และมลพิษทางอากาศเท่านั้น แต่ยังสร้างความสดชื่น ความสวยงาม และความผ่อนคลายให้กับผู้อยู่อาศัย การเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของบ้านและการดูแลอย่างถูกวิธีจะทำให้ต้นไม้เหล่านี้เติบโตสมบูรณ์และทำหน้าที่ฟอกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

แม้ว่าต้นไม้อาจไม่สามารถกำจัดมลพิษทางอากาศได้ทั้งหมด แต่การผสมผสานระหว่างการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศและการใช้เทคโนโลยีเสริมจะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เราหายใจได้สะดวกขึ้นและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย

 

1. ต้นไม้ในร่มชนิดใดฟอกอากาศได้ดีที่สุด?

ต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟอกอากาศ ได้แก่ เศรษฐีเรือนใน เดหลี เฟิร์นบอสตัน และปาล์มเอเรกา โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการกำจัดสารพิษที่แตกต่างกัน

2. ควรปลูกต้นไม้ฟอกอากาศกี่ต้นจึงจะมีประสิทธิภาพ?

นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าควรมีต้นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ประมาณ 1-2 ต้นต่อพื้นที่ 10 ตารางเมตร จึงจะเห็นผลในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ

3. ต้นไม้ฟอกอากาศสามารถกำจัด PM 2.5 ได้จริงหรือไม่?

ต้นไม้สามารถดักจับอนุภาค PM 2.5 ได้บางส่วนผ่านการดูดซับบนพื้นผิวใบ แต่ไม่สามารถกำจัดได้ทั้งหมด จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องฟอกอากาศสำหรับประสิทธิภาพสูงสุด

แบ่งปันบทความ: